ฤดูร้อนปีนี้ กรุงโซล เมืองหลวงของเกาหลีใต้ กำลังเผชิญกับการระบาดของแมลงขนาดเล็กที่ชาวท้องถิ่นเรียกว่า “เลิฟบั๊ก” (Lovebug) ในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แมลงเหล่านี้ปรากฏตัวหนาแน่นตามเส้นทางเดินป่า ย่านชุมชน และพื้นที่สีเขียวทั่วเมือง ส่งผลให้ประชาชนจำนวนมากร้องเรียนต่อหน่วยงานรัฐ ท่ามกลางความกังวลที่ขยายวงถึงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
“เลิฟบั๊ก” หรือชื่อวิทยาศาสตร์ Plecia longiforceps เป็นแมลงปีกอ่อนขนาดเล็ก มีพฤติกรรมเด่นคือการบินจับคู่กันระหว่างผสมพันธุ์ โดยตัวผู้มักตายภายใน 3–4 วัน ส่วนตัวเมียจะมีชีวิตอยู่ได้นานกว่าราวหนึ่งสัปดาห์ก่อนวางไข่ในดินชื้น แม้แมลงชนิดนี้จะไม่กัด ไม่แพร่เชื้อ และไม่มีพิษภัยโดยตรงต่อมนุษย์ แต่พฤติกรรมการรวมฝูงจำนวนมากในที่สาธารณะ กลับสร้างความรำคาญและความรู้สึกไม่สบายใจให้กับประชาชนไม่น้อย
ภาพและคลิปวิดีโอที่เผยแพร่ในโซเชียลมีเดียเผยให้เห็นปริมาณเลิฟบั๊กจำนวนมากเกาะหนาแน่นตามราวบันไดและต้นไม้บนภูเขาเกยยังซาน ในเมืองอินชอน รวมถึงหลายพื้นที่ในกรุงโซล โดยเฉพาะบริเวณที่มีความชื้นและแสงสว่าง เช่น เส้นทางเดินป่า จุดชมวิว และหน้าต่างบ้านเรือน ซึ่งกลายเป็นแหล่งดึงดูดแมลงเหล่านี้อย่างไม่ตั้งใจ

โลกร้อน-เมืองร้อน: ปัจจัยเร่งการขยายถิ่นของแมลงเขตร้อน
ผู้เชี่ยวชาญด้านแมลงของเกาหลีใต้ชี้ว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปัจจัยสำคัญที่เปิดทางให้เลิฟบั๊ก ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในแถบกึ่งร้อนชื้นของจีนตอนใต้ ไต้หวัน และหมู่เกาะริวกิวของญี่ปุ่น สามารถขยายถิ่นฐานขึ้นมายังภาคเหนือของเอเชียได้ โดยถูกพบในเกาหลีใต้ครั้งแรกในปี 2022 และขยายตัวรวดเร็วในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในฤดูร้อนที่อุณหภูมิสูงผิดปกติ
ข้อมูลจากทางการกรุงโซลเผยว่า ในปี 2024 มีคำร้องเรียนเกี่ยวกับแมลงเลิฟบั๊กมากถึง 9,296 ครั้ง เพิ่มขึ้นจาก 4,418 ครั้งในปีก่อนหน้า ขณะที่เมืองอินชอนมีรายงานการพบการระบาดมากกว่า 100 จุดภายในวันเดียว ซึ่งบ่งชี้ว่าปัญหานี้กำลังกลายเป็นวิกฤตระดับเมือง
นอกจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นแล้ว การขยายตัวของเมือง การลดพื้นที่ป่า และปรากฏการณ์ “เกาะความร้อนในเมือง” (Urban Heat Island) ก็เป็นปัจจัยที่สร้างสภาพแวดล้อมเอื้อต่อการขยายพันธุ์ของแมลงเขตร้อนเหล่านี้ โดยเฉพาะบริเวณที่มีต้นไม้หนาแน่น ความชื้นสูง และแสงไฟในเวลากลางคืน
“เลิฟบั๊ก” ศัตรูพืช หรือแมลงประโยชน์ทางนิเวศ ?
แม้จะมีรูปลักษณ์และพฤติกรรมที่ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายใจ แต่หน่วยงานสิ่งแวดล้อมของเกาหลีใต้ยืนยันว่า เลิฟบั๊กมีประโยชน์ต่อระบบนิเวศ โดยตัวอ่อนมีบทบาทในการย่อยสลายอินทรียวัตถุในดิน ขณะที่ตัวเต็มวัยมีส่วนช่วยในการผสมเกสรพืชบางชนิด
ทางการกรุงโซลออกแถลงการณ์เตือนประชาชน “ไม่ให้ใช้สารเคมีกำจัดแมลงโดยไม่จำเป็น” เนื่องจากอาจกระทบต่อแมลงที่มีประโยชน์และสิ่งมีชีวิตอื่นในระบบนิเวศ อีกทั้งยังอาจส่งผลต่อสุขภาพของมนุษย์ พร้อมแนะนำให้ใช้วิธีควบคุมแมลงอย่างปลอดภัย เช่น ฉีดพ่นน้ำเพื่อไล่แมลงออกจากพื้นผิว ติดตั้งกับดักแสงหรือแผ่นกาว และหลีกเลี่ยงการเปิดไฟภายนอกในเวลากลางคืน โดยเฉพาะไฟสีขาวหรือสีสว่างซึ่งดึงดูดแมลงได้มาก
อย่างไรก็ตาม จากผลสำรวจของสถาบันในกรุงโซลพบว่า 86% ของประชาชนมองว่าเลิฟบั๊กเป็น “ศัตรูพืช” และจัดให้อยู่ในอันดับ 3 ของแมลงที่น่ารังเกียจ รองจากแมลงสาบและตัวเรือด สะท้อนความไม่สบายใจที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงทางนิเวศที่ไม่คุ้นชิน
การตอบสนองทางวิทยาศาสตร์และธรรมชาติ
หน่วยงานด้านวิจัยของรัฐบาลเกาหลีกำลังเร่งพัฒนาสารชีวภาพจากเชื้อราที่สามารถควบคุมตัวอ่อนของเลิฟบั๊กโดยไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกัน ก็มีสัญญาณบวกจากธรรมชาติ เมื่อมีรายงานว่านกบางชนิด เช่น นกกระจอกและนกกาเหว่า เริ่มหันมากินแมลงเลิฟบั๊กเป็นอาหาร ซึ่งอาจช่วยควบคุมจำนวนประชากรของแมลงเหล่านี้ในระยะยาว
แม้สถานการณ์จะดูตึงเครียด แต่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า การระบาดของเลิฟบั๊กมักมีระยะเวลาสั้น โดยประชากรแมลงจะลดลงอย่างรวดเร็วภายใน 2–3 สัปดาห์ เนื่องจากอายุขัยที่สั้น โดยคาดว่าภายในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม แมลงเหล่านี้จะค่อยๆ หายไปตามวัฏจักรชีวิตของพวกมัน
ระบาดวิทยาในเมืองใหญ่ บทเรียนจากโซลสู่โลก
เหตุการณ์นี้กลายเป็นบทเรียนสำคัญของเมืองใหญ่ทั่วโลกที่กำลังเผชิญกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) และการเติบโตของเมืองอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่ในแง่ของภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้น แต่รวมถึงการปรับตัวของสิ่งมีชีวิตและแมลงต่างถิ่นที่อาจกลายเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมในอนาคต
การระบาดของแมลงเลิฟบั๊กในเกาหลีใต้จึงเป็นมากกว่าเหตุการณ์ก่อความรำคาญใจในชีวิตประจำวัน แต่เป็นสัญญาณเตือนจากธรรมชาติที่ชี้ให้เห็นว่าโลกกำลังเปลี่ยนแปลงในระดับที่ลึกและซับซ้อนยิ่งขึ้น และการตอบสนองต่อปัญหาเหล่านี้ต้องอาศัยการบูรณาการทั้งวิทยาศาสตร์ สิ่งแวดล้อม และการมีส่วนร่วมของสังคม