ฮาวทูกู้โลกรวน - วิธีที่ 15: ย่างหนอ...แลนหนอ (ขอให้ 2 ขาได้อ้าบ้าง)

23 ม.ค. 2568 - 06:56

  • เชื่อหรือไม่? คนเมืองกำลังจนเพราะค่าเดินทาง อ้วนเพราะเมืองแย่ แก่และเหงาเพราะไม่เจอใคร!

  • We will drill baby, drill. นโยบายไม่แคร์โลกของ โดนัลด์ ทรัมป์ “คร่ำครึ” และจุดจบของเขาก็ไม่ต่างอะไรกับกบในหม้อต้ม

  • การเดินอย่างน้อย 3,967 ก้าวต่อวันก็เพียงพอที่จะเริ่มส่งผลดี ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากทุกโรค

ecoeyes-how-to-heal-the-planet-walk-and-run-SPACEBAR-Hero.jpg

ฮาวทูกู้โลกรวน ฉบับพูดง่าย ทำยาก

วิธีที่ 15 : ย่างหนอ...แลนหนอ (ขอให้ 2 ขาได้อ้าบ้าง)

เรากำลังจนเพราะค่าเดินทาง อ้วนเพราะเมืองแย่ แก่และเหงาเพราะไม่เจอใคร!

แนะนำ : ลดเครื่องยนต์กลไกแล้วใช้เครื่องยนต์มนุษย์ ถ้า 10,000 ก้าวมากไป งานวิจัยบอกเดินวันละ 3,967 ก้าวก็พอ

WHAT (เกิดอะไรขึ้นอ่ะ?)

“ย่างหนอ...แลนหนอ” เหมือนคำบริกรรมในใจว่า “ขวาย่างหนอ…ซ้ายย่างหนอ” ที่ทำพร้อมกับอาการเคลื่อนไหวร่างกายช้าๆ อย่างรู้สติ ยามเราทำกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน หรือเดินจงกรม ซึ่งใน 1 ปี คนปกติธรรมดาอย่างเราๆ ที่ไม่ใช่พระสงฆ์ นักบวช หรือแม่ชี ทำกี่ครั้ง? (หรือไม่ได้ทำเลย)

หากเทียบกับการเดินทางในทุกๆ วันเพื่อไปทำงาน ไปเรียน หรือออกจากบ้านไปซื้อของ (แค่ปากซอย) ตอนนี้เราก็แทบจะไม่อยากเดิน เพราะฉะนั้น อย่าว่าแต่เรื่องเดินจงกรมเลย เดินปกติธรรมดา ก็ทำให้ได้ก่อน!!

gene_protected_humans_5000_years_ago_linked_debilitating_modern_disease_SPACEBAR.jpg

...ในอดีต มนุษย์เราใช้สองขาย่ำเดิน ออกล่าสัตว์ ตักน้ำที่ลำธาร (เห็นในสารคดีบ่อยๆ) แต่เพราะวิวัฒนาการทางความรู้และการรู้จักใช้ “เครื่องทุ่นแรง” ก็ทำให้มนุษย์เราใช้ชีวิตสะดวกสบายมากขึ้น เดินทางได้ไกลขึ้น และประหยัดเวลามากขึ้น

เราเริ่มจากการใช้แรงสัตว์อย่างช้าง ม้า วัว ควาย ก้าวมาสู่ยุคของการประดิษฐ์ล้อลากจูง ระบบราง พัฒนาเครื่องยนต์กลไก จากการเริ่มใช้พลังงานสะอาดอย่างไอน้ำในรถจักร รุดหน้าเป็นการใช้พลังงานเชื้อเพลิงอื่นๆ จนถึงยุคที่ใช้พลังงานฟอสซิล ทั้งถ่านหิน น้ำมันดิบ และก๊าซธรรมชาติ จากการขุด ขุด และขุด

หลังจากนั้น มนุษย์เราก็เหมือนกบนอกกะลา...แต่ย้ายมาอยู่ใน “หม้อต้ม” แทน

ทฤษฎีกบต้ม (The boiling frog Theory) ของนักวิทยาศาสตร์ชาวไอริช ชื่อ Tichyand Sherman โด่งดังมากในปี 1993 เมื่อเขาทดลองนำกบตัวแรกใส่ลงไปในหม้อที่มีน้ำเดือดปุดๆ ทันทีที่กบสัมผัสกับน้ำร้อนๆ มันก็กระโดดหนีเพื่อเอาชีวิตรอด

ทีนี้เขานำกบอีกตัว (พันธุ์เดียวกัน) มาใส่ในหม้อที่มีน้ำอุณหภูมิปกติ กบก็ว่ายน้ำชิลๆ จากนั้นเขาค่อยๆ เพิ่มอุณหภูมิน้ำให้สูงขึ้นทีละนิด ความเคยชินจากการที่อุณหภูมิค่อยๆ อุ่นขึ้น ทำให้กบไม่ได้ร้อนจนตกใจ ทว่า กว่าจะรู้ว่าทนไม่ไหวก็สายเกินไปที่จะกระโดดหนีเอาชีวิตรอด ใช่แล้ว! กบตัวนี้ “ตายในหม้อ”

trump_threatens_100_percent_tariff_brics_if_they_try_to_replace_dollar_SPACEBAR.jpg
Photo: Photo by Allison ROBBERT / POOL / AFP

We will drill baby, drill. - ทรัมป์ในหม้อ

ขุด ขุด และขุด...นโยบายไม่แคร์โลกของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ (หน้าเก่า-แก่) กระตุ้นให้เกิดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ (ที่มีวันหมดนะ!) โดยเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่าง “น้ำมันดิบ” เป็นแหล่งพลังงานธรรมชาติที่ถูกใช้งานมากที่สุดราว 39% จะมีให้ผู้คนได้ใช้ต่อไปได้อีก 50 ปี (ไม่เป็นไร เพราะตอนนั้นทรัมป์ก็ไม่อยู่แล้ว)

ขณะที่ “ถ่านหิน” ที่ผู้คนทั่วทั้งโลกใช้งานกันอยู่ 33% จะยังคงมีให้ใช้งานได้อีกราว 150 ปี และ “ก๊าซธรรมชาติ” ที่ปัจจุบันมีการใช้งานอยู่ที่ 28% จะยังคงมีให้ผู้คนบริโภคยาวนานประมาณ 400 ปี (แล้วหลังจากนั้นล่ะ?)

ณ ตอนนี้ ขณะที่คนไทยกำลังหายใจไม่เต็มปอด เพราะจมในหมอกควัน PM2.5 มลพิษทางอากาศที่ทำให้คนไทยป่วยปีละกว่า 12 ล้านคน และส่งผลให้ประชาการโลกราว 5 ล้านคนเสียชีวิตก่อนวัยอันควร แต่ผู้นำหน้าเก่ายัง “คร่ำครึ” แถม “ไม่เชื่อเรื่องโลกร้อน” (เพราะหิมะยังตกจนหนาวอยู่นี่นา) จุดจบของเค้าก็ไม่ต่างอะไรกับกบตัวที่สองของ Tichyand Sherman นั่นแหละ

WHY (ทำไมโลกร้อนล่ะ, เกี่ยวไร?)

หลังจากรถยนต์คันแรกถือกำเนิดอย่างเป็นทางการ เมื่อปี 1886 โดยชาวเยอรมัน ชื่อ คาร์ล เบ็นทซ์ (Karl Friedrich Benz) ไม่ใช่ทิ้งไว้แค่รอยทางล้อที่รถวิ่งไป แต่ยังทิ้งรอยเท้าคาร์บอน (Carbon Footprint) หรือปริมาณก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gases) ที่ถูกปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศจากกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ และค่อยๆ เปิดรูโหว่ของชั้นบรรยากาศโลก ทำให้โลกค่อยๆ ร้อนขึ้น เกิด “ภาวะโลกร้อน” (Global Warming) และ “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” (Climate Change) ที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบนิเวศของโลกในขณะนี้

ecoeyes-how-to-heal-the-planet-walk-and-run-SPACEBAR-Photo01.jpg

ไม่ใช่แค่การใช้แล้วหมดไปของทรัพยากร (ยิ่งใช้! ยิ่งขุด!) หรือผลกระทบเรื่องโลกร้อน การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศเท่านั้น แต่การที่คนยุคนี้ไม่ค่อยใช้ขาเดิน (ทั้งที่ยังคงเดินทางมากในแต่ละวัน) เพราะหันมาใช้นิ้วเดินทาง เพียงแค่ใช้นิ้วกด ล้อก็หมุน วงจรธุรกิจจึงขับเคลื่อนบนการใช้พลังงานที่หลากหลายและถูกใช้ไปอย่างมากมายมหาศาล (เว้นพลังงานคนที่ใช้น้อยลง) ทั้งแอปพลิเคชันเรียกรถ ส่งอาหาร เหมือนเราสั่งให้ไรเดอร์กดสตาร์ท สั่งดูไบให้สูบน้ำมัน สั่งโรงกลั่นให้เดินเครื่อง สภาพการจราจรกรุงเทพฯ ตอนหัวค่ำในวันทำงาน (ณัฐพล โลวะกิจ)แต่ลืมสั่งให้สองเท้าก้าวเดิน

และการที่เราเลือกความสะดวกสบาย กลับทำให้ไลฟ์สไตล์ของยุคใหม่ตกอยู่ในภาวะ Sedentary Behavior หรือ “พฤติกรรมเนือยนิ่ง” ที่ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงโรครุมเร้าเท่าทวี และที่สำคัญคือ เรากำลังจนเพราะค่าเดินทาง อ้วนเพราะเมืองแย่ แก่และเหงาเพราะไม่เจอใคร!

แค่เราไม่เดิน มันส่งผลขนาดนี้เลยหรอ...คำตอบคือ ใช่!

TAGCLOUD_how_much_life_time_has_been_stolen_by_bangkok_traffic_SPACEBAR_Photo10_7247191cdc.webp
Photo: สภาพการจราจรกรุงเทพฯ ตอนหัวค่ำในวันทำงาน (ณัฐพล โลวะกิจ)

ลองคิดดูว่า ถ้าทุกคนขี้เกียจเดิน ก็แค่ซื้อรถยนต์ส่วนตัวมาใช้ รถบนท้องถนนก็เยอะ แล้วรถก็ติด (นี่มัน กทม.ชัดๆ) เกิดการใช้พลังงาน เครื่องยนต์เผาไหม้กันฉ่ำ ปล่อยควันกันครื้นเครง (ดีหน่อยที่มีรถยนต์ไฟฟ้ามาร่วมแบ่งเบาบ้างแล้ว) นี่คือปัญหาหลักที่เรามักคิดออก

ยังมีปัญหาที่เรามองไม่เห็น นั่นก็คือ การเพิ่มรายจ่ายในการใช้ชีวิต ทั้งจ่ายค่างวดรถ ค่าเติมน้ำมัน ค่าซ่อมบำรุง ต่อ พ.ร.บ. ภาษี ค่าทางด่วน ฯลฯ ทีนี้ทางออกง่ายๆ เลยคือ เราก็ไม่ต้องซื้อรถสิ!

ตัดภาพมาที่การเดินทางอีกมิติคือ การใช้รถขนส่งสาธารณะ ที่เหมาะมากกับเมืองรถติดระดับโลกอย่าง ...กรุงเทพฯ ชีวิตดีๆ ที่ลงตัว แบบนี้ลดการก่อก๊าซเรือนกระจกช่วยโลกได้เยอะ แต่เราก็ยังต้องแบกรับภาระค่าเดินทาง ทั้งค่าวินมอเตอร์ไซค์ออกจากบ้านมาต่อรถไฟฟ้า ต่อรถเมล์ ต่อเรือ แล้วต่อรถเข้าซอย ที่นับรวมๆ ไม่น้อยเลยว่าไหม และแน่นอนว่าอีกสิ่งที่เสียไปคือ เวลา ซึ่งเรื่องนี้สามารถตามไปอ่านได้ที่ การจราจรกรุงเทพฯ ขโมยเวลาชีวิต ‘เรา’ ไปมากแค่ไหน?

ถึงบอกไงว่า...เรากำลัง “จนเพราะค่าเดินทาง”

“อ้วนเพราะเมืองแย่” ก็ความรักสบายนั่นแหละที่เป็นตัวการก่อพฤติกรรมเนือยนิ่ง หนึ่งในปัจจัยเสี่ยงของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ในคนที่อายุ 18 ขึ้นไป พฤติกรรมเนือยนิ่งสัมพันธ์กับอัตราการตายจากโรคหัวใจหลอดเลือด โรคเบาหวาน และภาวะของเมตะบอลิกซินโดรม หรือฉายา “อ้วนลงพุง” ซึ่งมีสาเหตุเริ่มต้นจากการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม เช่น กินอาหารมากเกินไป แต่ขยับร่างกายน้อย

เขียนมาถึงตรงนี้นึกถึงสิ่งที่ ผศ.ดร.นิรมล กุลศรีสมบัติ ผู้อำนวยการศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง (UddC) ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ “โรค” ใน “โลกคนเมือง” ที่ผู้เขียนเคยฟัง โดย ผศ.ดร.นิรมล บอกว่า เมืองอะไรเอ่ย อยู่แล้ว "จน อ้วน ไม่มีแฟน"

“มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งของ Robert Putman พบว่า 1 ใน 4 ของอเมริกันชนไม่มี Meaningful Relationship ว่าง่ายๆ ก็คือไม่มีเพื่อน เขาพบว่าอินเทอร์เน็ตมีส่วนสำคัญที่แยกโลกของเราออกจากกัน แต่ที่สำคัญคือ วัฒนธรรมรถยนต์ เพราะวัฒนธรรมนี้มันทำให้เราอยู่แต่ในพื้นที่แคบๆ อยู่แต่ในบ้าน ขับรถไปที่ทำงาน แล้วก็ขับรถกลับบ้าน ใช้เวลานานบนท้องถนน ทำให้ไม่เกิดความผูกพันทางสังคม (Social ties)” ผศ.ดร.นิรมล พูดแล้วเราก็คิดตาม…“แก่และเหงาเพราะไม่เจอใคร!” จริงมาก

ข้อเสียของกรุงเทพฯ​ คือเมืองแห่งการทำงาน แล้วเราจะเอาเวลาที่ไหนไปเจอแฟน ถ้าทำงานเยอะ แถมยังใช้เวลา 2-3 ชั่วโมงบนรถส่วนตัว วันๆ เท่ากับไม่ได้เจอใคร นอกจากเพื่อนร่วมงาน ซึ่งถ้าจะเป็นแฟนกันก็เป็นไปนานแล้ว ฮ่า ฮ่า …สุดท้ายมนุษย์เมืองทั้งหลายก็จับมือ “โดดเดี่ยวไปด้วยกัน”

HOW (ทำอย่างไรล่ะทีนี้)

ปัญหาเบื้องต้นจะหมดไป ถ้าเราใช้ขา...อ้าให้มากขึ้น ไม่ได้โม้! เพราะแค่เรา เดิน เดิน วิ่ง วิ่ง สิ่งที่ได้กลับมาจะทำให้ตาลุกวาว

ecoeyes-how-to-heal-the-planet-walk-and-run-SPACEBAR-Photo03.jpg
Photo: เปรียบเทียบพื้นที่การเดินเท้า-รถสาธารณะ-รถจักยาน-รถยนต์ส่วนตัว / Cycling Promotion Fund (CPF)

เอาในแง่ของการได้ช่วยโลกก่อน แค่เราเดินหรือวิ่ง แทนการขับรถทุกวัน มันไม่ใช่แค่ช่วยลดความตึงเครียดจากการติดแหงกในรถ แต่การเดินยังทำให้ถนนโล่ง พร้อมช่วยลดคาร์บอนฯ ได้ทุกครั้งที่เรา “ย่างหนอ…แลนหนอ” ด้วยสองขา ก็เหมือนตัดวงจรการขุด หยุดดูไบให้สูบน้ำมัน ปิดเครื่องในโรงกลั่น แล้วได้โลกที่ฟื้นตัว มีอากาศดีๆ กลับมาให้หายใจ (ไม่เปลืองแมสก์ด้วย)

ต่อมา เมื่อเราใช้เครื่องยนต์กลไกมนุษย์ (ขานี่แหละ) ก็ช่วยเซฟเงินในกระเป๋า เป็นการเดินทางที่ประหยัดที่สุด และยังได้ออกกำลังกายแบบไม่เสียเงินสักบาท (ถ้าไม่ซื้ออะไรกินระหว่างทางนะ)

ส่วนประโยชน์ขั้นสุด แค่ย่างหนอ…แลนหนอ คือมหัศจรรย์ของการเดินที่เชื่อมโยงมิติสุขภาพ ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต โดยข้อมูลจากกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เผยประโยชน์ของการเดินเป็นรายนาทีไว้ว่า

  • เดินนาทีที่ 1 ถึง 5 : เพียงออกสาตาร์ท 2–3 ก้าวแรก จะกระตุ้นการปล่อยสารเคมีที่สร้างพลังงานภายในเซลล์ เพื่อเป็นเชื้อให้กับการเดิน ชีพจรจะเร่งขึ้นเป็น 70 –100 ครั้งต่อนาที กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตและให้ความอบอุ่นแก่กล้ามเนื้อ ไขข้อที่ฝืดและตึงจะคลายตัวลง เพราะข้อต่อจะปลดปล่อยของเหลวหล่อลื่นออกมาเพื่อให้การเคลื่อนไหวทำได้ง่ายขึ้น เมื่อเคลื่อนที่ไปร่างกายจะเผาผลาญพลังงาน 5 แคลอรี่ต่อนาที เทียบกับเมื่อพัก จะเผาผลาญแค่ 1 แคลอรี่ต่อนาที ร่างกายต้องการเชื้อมากขึ้นจึงเริ่มดึงเอาคาร์โบไฮเดรตและไขมันที่สะสมอยู่ออกมาใช้
  • เดินนาทีที่ 6 ถึง 10 : ชีพจรจะเต้นเร็วขึ้น ร่างกายจะเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นเป็น 6 แคลอรี่ต่อนาที เมื่อก้าวเท้าได้มากขึ้น ความดันโลหิต ที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจะถูกต้านด้วยการปลดปล่อยสารเคมีที่จะช่วยขยายเส้นเลือด ทำให้เลือดและออกซิเจนเข้าสู่กล้ามเนื้อที่กำลังใช้งานมากขึ้น
  • เดินนาทีที่ 11 ถึง 20 : อุณหภูมิของร่างกายจะสูงขึ้นเรื่อยๆ เหงื่อเริ่มออกเมื่อเส้นเลือดส่วนที่ใกล้กับผิวหนังขยายขึ้น เริ่มปลดปล่อยความร้อนออกมา เมื่อเดินได้แกร่งมากยิ่งขึ้น จะเผาผลาญได้มากขึ้น ไปจนถึง 7 แคลอรี่ต่อนาทีและหายใจเร็วขึ้น สารฮอร์โมน “เอพิเนฟริน” (Epinephrine) และ “กลูคากอน” (Glucagon) จะถูกปลดปล่อยออกมามากขึ้น เพื่อเพิ่มเชื้อให้กับกล้ามเนื้อที่กำลังใช้งานอยู่
  • เดินนาทีที่ 21 ถึง 45 : เมื่อรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นจะรู้สึกผ่อนคลาย เมื่อร่างกายลดความตึงเครียดลง สาเหตุส่วนหนึ่งเพราะสารเคมีที่ทำให้รู้สึกดีจำนวนหนึ่ง เช่น เอนดอร์ฟิน (Endorphin) เพิ่มขึ้นในสมอง เมื่อไขมันถูกเผาผลาญมากขึ้นอินซูลิน (สารที่ช่วยสะสมไขมัน) จะลดลง ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี สำหรับคนที่มีน้ำหนักเกินและเป็นโรคเบาหวาน
  • เดินนาทีที่ 46 ถึง 60 : กล้ามเนื้ออาจจะรู้สึกเมื่อยล้าเมื่อปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่สะสมอยู่ลดลง เมื่อร่างกายเริ่มเย็นตัวลง ชีพจรจะเต้นช้าและหายใจช้าลง อัตราการเผาผลาญพลังงานจะลดน้อยลง แต่ก็ยังสูงกว่าตอนที่เริ่มเดิน จำนวนแคลอรี่ที่เผาผลาญจะยังยืนระดับไปอีกราวหนึ่งชั่วโมง

แล้วถ้าอยากเดินแบบนับก้าวล่ะจะวัดอย่างไรดี?

เรามักได้ยินว่าต้องเดินวันละ 10,000 ก้าว แต่ใครบอก? แล้วจริงหรือ? เพราะความสงสัยเราจึงหาคำตอบมาได้ว่า 10,000 ก้าวต่อวัน มันมาจากแคมเปญโฆษณาเครื่องนับก้าวที่ชื่อ มันโปะเก (Manpo-kei) ซึ่งแปลว่า 10,000 ก้าว ของบริษัท Yamasa Tokei ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงปี 1960 เพื่อให้คนญี่ปุ่นออกแรงเดินกันมากขึ้นกว่าค่าเฉลี่ยเดิม จาก 4,000 ก้าวต่อวัน เป็น 10,000 ก้าวต่อวัน แล้วยังได้คำนวณออกมาเสร็จสรรพว่า เมื่อเดิน 10,000 ก้าวต่อวัน จะเผาผลาญแคลอรี่ได้ถึง 3,000 แคลอรี่ และสุขภาพดีอย่างเห็นผล

ecoeyes-how-to-heal-the-planet-walk-and-run-SPACEBAR-Photo_SQ01.jpg
Photo: ภาพประกอบในผลการศึกษาของ Maciej Banach

ความคิดนี้ถูกใช้มาอย่างแพร่หลาย ซึ่งการเดินยิ่งมาก ยิ่งดี ไม่มีผลร้ายกับใคร แต่ถ้ามีเวลาน้อยไป หรือคิดว่า 10,000 ก้าวมากไป มีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารป้องกันโรคหัวใจแห่งยุโรป (European Journal of Preventive Cardiology) เผยผลการศึกษาของ Maciej Banach นักวิจัยชาวโปแลนด์ ว่า การเดินอย่างน้อย 3,967 ก้าวต่อวันก็เพียงพอที่จะเริ่มส่งผลช่วยลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากทุกโรค

ในเมื่อรู้ว่าการเดินดีขนาดนี้ แล้วทำไมยังไม่อยากเดิน? เป็นเพราะเมืองไม่อำนวยหรือเปล่า?

เรื่องของการเดินเท้า ตามแนวคิด “เมืองเดินได้” เป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาเมืองให้ยั่งยืนและน่าอยู่ การเดินสามารถส่งเสริมกิจกรรมทางกาย ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับชุมชนจากการจับจ่ายซื้อของในท้องถิ่น ทำให้ธุรกิจเล็กๆ ของลุงๆ ป้าๆ อยู่รอด บ่มเพาะนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงเสริมสร้างความสัมพันธ์ในสังคม

ทั่วโลกให้ความสำคัญกับการสร้าง “เมืองเดินดี” (Walkable City) ที่มีการเดิน ปั่นจักรยาน และใช้ขนส่งสาธารณะเป็นหลัก เช่น โคเปนเฮเกน โตเกียว และพอร์ตแลนด์ เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจ เพราะเมืองเหล่านี้มีพื้นที่ที่เอื้อต่อการเดิน และทำให้คนเมืองมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แม้ต้องแลกมากับการทวงคืนพื้นที่หรือถนนบางส่วนให้เป็นพื้นที่สาธารณะสำหรับเดินเท้า

สำหรับประเทศไทย มีโครงการ “เมืองเดินได้ เมืองเดินดี GoodWalk Thailand” มาตั้งแต่ปี 2557 โดยศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านยุทธศาสตร์เมือง (UDDC-CEUS) ภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมมือกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โครงการนี้ไม่ใช่แค่เรื่องปรับปรุงคุณภาพทางเท้า หรือขยายทางเท้า แต่เป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการพัฒนาเมืองของประเทศไทย ที่ตอบโจทย์ความท้าทายอันหลากหลายของเมือง ทั้งเรื่องสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคม สุขภาวะ การเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และสังคมผู้สูงอายุ

ecoeyes-how-to-heal-the-planet-walk-and-run-SPACEBAR-Photo02.jpg

แค่เราเดิน อาจดูเป็นเรื่องเล็กๆ แต่จริงๆ แล้วเป็นส่วนสำคัญในการสร้างเมืองที่ยั่งยืนและน่าอยู่สำหรับทุกคน 

เพราะแบบนี้ “เดินกู้โลก” จึงต้องถูกบรรจุไว้ใน “ฮาวทูกู้โลกรวน ฉบับพูดง่าย ทำยาก” ถ้าอยากทำให้โลกนี้ดีขึ้น วันนี้ลุกขึ้นไปเดิน แล้วรอติดตามตอนต่อไปได้เลย

อ้างอิง

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์